วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559


ชื่อเครื่องยา
เถาวัลย์เปรียง
ชื่ออื่นๆของเครื่องยา
เถาวัลย์เปรียงขาว
ได้จาก
เถา
ชื่อพืชที่ให้เครื่องยา
เถาวัลย์เปรียง
ชื่ออื่น(ของพืชที่ให้เครื่องยา)
เครือเขาหนัง เถาตาปลา เครือตาปลา(นครราชสีมา) ย่านเหมาะ(นครศรีธรรมราช) พานไสน(ชุมพร) เครือตับปลา
ชื่อวิทยาศาสตร์
Derris scandens (Roxb.) Benth
ชื่อพ้อง
ชื่อวงศ์
Papilionaceae
ลักษณะภายนอก
        เถาแก่เป็นไม้เนื้อแข็ง เปลือกนอกสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลแกมสีเทา เปลือกเถาอาจมีร่องหรือคลื่นตามยาว มีช่องอากาศกระจายอยู่ทั่วไป เถาเหนียว เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้สีออกน้ำตาลอ่อนๆ เห็นรอยวงปีไม่ชัดเจน เนื้อไม้มีรูพรุนตรงกลาง รสเฝื่อน เอียน
      

กษณะทางกายภาพและเคมี
           ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 8%, ปริมาณเถ้าที่ละลายในกรด ไม่เกิน 1%, ปริมาณความชื้น ไม่เกิน 7%, ปริมาณสารสกัดด้วยน้ำ ไม่ต่ำกว่า 14%, ปริมาณสารสกัดด้วย 50% เอทานอล ไม่ต่ำกว่า 14%, ปริมาณสารสกัดด้วย 95% เอทานอล ไม่ต่ำกว่า 6%, ดัชนีการเกิดฟองไม่น้อยกว่า 200


สรรพคุณ:
           ตำรายาพื้นบ้าน: ใช้เถา ขับปัสสาวะ แก้บิด แก้หวัด ใช้เถาคั่วไฟให้หอมชงน้ำกินแก้ปวดเมื่อย แก้เส้นเอ็นพิการ แก้เมื่อยขบในร่างกาย แก้กระษัยเหน็บชา ต้มรับประทานถ่ายเส้น ถ่ายกระษัย แก้เส้นเอ็นขอด ถ่ายเสมหะ ไม่ถ่ายอุจจาระ เหมาะที่จะใช้ในโรคบิด ไอ หวัด ใช้ในเด็กได้ดี แก้ปวด แก้ไข้ ทำให้เส้นเอ็นอ่อนลง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ บางตำรากล่าวว่าทำให้มีกำลังดีแข็งแรงสู้ไม่ถอย
           เป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ในสูตรยาอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ โดยใช้เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมจากสูตรยาอบสมุนไพรหลัก เมื่อต้องการอบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว เป็นต้น


    รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
           บัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชียาจากสมุนไพร 2556 ยาพัฒนาจากสมุนไพร กลุ่มยารักษากลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ระบุรูปแบบและขนาดวิธีใช้ยาดังนี้

        1. บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
ผงจากเถาของเถาวัลย์เปรียง รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทันที
        2. บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง และอาการปวดจากข้อเข้าเสื่อม
สารสกัดจากเถาด้วย 50%เอทานอล รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทันที
        ข้อห้ามใช้ 
        ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
        คำเตือน
        ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยแผลเพปติก เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงออกฤทธิ์คล้ายยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์  จึงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารได้
         อาการไม่พึงประสงค์         
         ปวดท้อง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง ใจสั่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อุจจาระเหลว

องค์ประกอบทางเคมี:
          สารกลุ่ม isoflavone glycoside ได้แก่ eturunagarone, 4,4’-di-O-methylscandenin, lupinisol A, 5,7,4’-trihydroxy-6,8-diprenylisoflavone, 5,7,4’-trihydroxy-6,3’-diprenylisoflavone, erysenegalensein E, derrisisoflavone A-F, scandinone, lupiniisoflavone G, lupalbigenin, derrisscandenoside A-E, 7,8-dihydroxy-4’-methoxy isoflavone, 8-hydroxy-4’,7-dimethoxy isoflavone-8-O-b-glucopyranoside, 7-hydroxy-4’,8-dimethoxy isoflavone-7-O-beta-glucopyranoside, formononetin-7-O-beta-glucopyranoside, diadzein-7-O-[α-rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside, formononetin-7-O-α- rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside, derrisscanosides A-B, genistein-7-O-[α- rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside
          สารกลุ่มคูมาริน ได้แก่ 3-aryl-4-hydroxycoumarins  สารกลุ่มสเตียรอยด์ได้แก่ lupeol, taraxerol, b-sitosterol  สารอื่นๆ เช่น 4-hydroxy-3-methoxy benzoic acid, 4-hydroxy-3,5-dimethoxy benzoic acid

การศึกษาทางเภสัชวิทยา:
          สารสกัดน้ำจากเถามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (ยับยั้งการสร้าง leukotriene B, ลดการหลั่ง myeloperoxide, ลดการสร้าง eicosanoid), ลดการอักเสบที่อุ้งเท้าหนู, สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ,สารสกัดบิวทานอล และสารประกอบประเภท rhamnosyl-(1,6)-glucosylisoflavone มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต, สารสกัดด้วย 50% เอทานอล มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์, ฤทธิ์ต้านเชื้อรา

การศึกษาทางคลินิก:
            บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง  การเปรียบเทียบสรรพคุณของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงกับยาไดโคลฟีแนค ในการเป็นยาบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง พบว่าเมื่อให้ผู้ป่วย รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงบรรจุแคปซูลขนาด 200 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไดโคลฟีแนคขนาด 25 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ผลพบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงสามารถลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ไม่แตกต่างจากการใช้ยาไดโคลฟีแนค
           กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย   การศึกษาประสิทธิผลของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี เมื่อได้รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงทีสกัดด้วย 50% เอทานอล ขนาดวันละ 400 มก. นาน 2 เดือน ไม่พบความผิดปกติของระบบต่างๆของร่างกาย และพบว่าสารสกัดเพิ่มการหลั่งของ IL-2 และ gamma–IFN แสดงว่าสารสกัดมีฤทธิ์เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้

การศึกษาทางพิษวิทยา:
           เถามีสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศหญิง จึงควรระวังถ้าจะรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
           การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดลำต้นด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 6,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
           การศึกษาพิษเรื้อรัง (6 เดือน) ของสารสกัดด้วย 50%เอทานอล ในหนู โดยให้สารสกัด เทียบเท่ากับผงเถาวัลย์เปรียงแห้ง คิดเป็น 100 เท่าของขนาดที่ใช้กับคนต่อวัน พบว่าไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา ชีวเคมีของซีรั่ม จุลพยาธิของอวัยวะภายใน และไม่พบความผิดปกติใดๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น