วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
กะหล่ำปลี
(cabbage) Brassica oleracea L .CV. groups White Headed Cabbage
กะหล่ำปลีสีม่วง Brassica oleracea L .CV. Red Headed cabbage
กะหล่ำปลีใบย่น Brassica oleracea L .CV. Savoy cabbage (van der Vossen, 1994)
วงศ์ CRUCIFERAE, BRASSICACEAE
ถิ่นกำเนิดและการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ มีถิ่นกำเนิดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรโรมัน และมีวิวัฒนาการมาจากกะหล่ำใบที่ไม่มีการแตกแขนงผสมกับต้นคะน้าที่มีลำต้นผอม ในช่วงยุคกลางทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีความสำคัญมากในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีการนำไปปลูกแพร่หลายทั่วโลก แต่ยังคงเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็นบนภูเขาสูง หรือฤดูกาลที่มีอากาศค่อนข้างเย็นของภูมิประเทศที่อยู่ในเขตเส้นรุ้งที่สูง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นพืชสองปี สูง 40-60 เซนติเมตรเมื่อเติบโตเต็มที่ และสูง 150-200 เซนติเมตร เมื่อช่อดอกเจริญเติบโตเต็มที่ ระบบรากแผ่กระจายในดินระดับความลึก 20-30 เซนติเมตร รากแขนงอาจหยั่งลึกได้ถึง 1.5-2 เมตร ลำต้นไม่แตกแขนง ยาว 20-30 เซนติเมตร ลำต้นหนาแข็งตั้งตรง ใบเรียงซ้อนกันเป็นกระจุกแบบดอกกุหลาบ ใบรอบนอก 7-15 ใบ มีก้านใบ แผ่นใบยาว 25-30 เซนติเมตร กว้าง 20-30 เซนติเมตร ใบทางด้านบนเรียงซ้อนกันเป็นปลีรูปกลมหรือรูปทรงรี โดยเรียงสับหว่างกันอย่างหนาแน่น ปลีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-30 เซนติเมตร การเรียงใบแบบสลับ แผ่นใบเรียบมีไขเคลือบ สีเทาจนถึงสีเขียวอมฟ้า ใบที่เรียงซ้อนกันอยู่ภายในปลีสีเขียวซีดจนถึงสีขาวครีม ถ้าเป็นกะหล่ำปลีสีม่วงจะมีแผ่นใบสีม่วงแดง ช่อดอกแบบช่อกระจะยาว 50-100 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยยาว 1.5-2 เซนติเมตร ดอกมีครบทั้ง 4 ส่วน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงตั้งตรงสีเขียวอ่อน กลีบดอกรูปช้อนสีเหลือง ยาว 25 มิลลิเมตร กว้าง 10 มิลลิเมตร เกสรเพศผู้ 6 อัน สั้น 2 อัน ยาว 4 อัน รังไข่เหนือวงกลีบ มี 2 รังไข่เชื่อมติดกันมีผนังเทียมกั้นบริเวณตรงกลาง มีต่อมน้ำต้อย 2 อัน อยู่ระหว่างรังไข่และเกสรเพศผู้ที่สั้น ผลแตกแบบผักกาด ยาว 5-10 เซนติเมตร กว้าง 0.5 เซนติเมตร มี 10-30 เมล็ด เมล็ดกลมสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 มิลลิเมตร
กระหล่ำปลีทั่วไป
กระหล่ำปลีสีม่วง
กระหล่ำปลีใบย่น
สรรพคุณทางยา
กะหล่ําปลี มีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้
ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เพราะกะหล่ำปลีดิบอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างและบำรุงกระดูก
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง
ช่วยบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
กะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน ที่สามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้
ช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ โดยการบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสของการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้ถึง 66%
กะหล่ำปลีช่วยต่อต้านมะเร็งในตับ และมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย
ช่วยในการย่อยอาหารและล้างสารพิษทำความสะอาดลำไส้ เพราะกะหล่ำปลีดิบมีใยอาหารที่มีปริมาณพอเหมาะ จึงช่วยในการย่อยและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กะหล่ำปลีดิบช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของแผลในลำไส้ และยังช่วยบำรุงลำไส้
กะหล่ำปลี สรรพคุณช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง
กะหล่ำปลี ประโยชน์ช่วยแก้และบรรเทาอาการท้องผูก
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
สรรพคุณกะหล่ำปลีช่วยแก้อาการเจ็บคอ
ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย หลับสนิท เพราะกะหล่ำปลีดิบมีสารซัลเฟอร์ซึ่งมีส่วนช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียด
กะหล่ำปลี สรรพคุณทางยามีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
สรรพคุณของกะหล่ำปลีช่วยบำรุงไต
ช่วยบำรุงตับ ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของตับ ช่วยตับในการล้างสารพิษ
ช่วยเพิ่มการสร้างของกลูต้าไธโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการช่วยล้างสารพิษจากควันไอเสีย และยาต่างๆ
ช่วยรักษาระดับเอสโตรเจนให้คงที่
ช่วยบรรเทาอาการปวดตึงคัดเต้านม โดยใช้กะหล่ำปลีมาประคบเต้านม ลอกกะหล่ำปลีออกเป็นใบแล้วนำมาประคบที่เต้านมข้างละใบ ใช้ผ้าพันทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที โดยไม่ต้องนวดคลึงอาการปวดจึงคัดก็จะหายไป
กะหล่ำปลีมีกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมองของเด็กทารกในครรภ์
ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก กระตุ้นโปรตีนเคราติน (Keratin) ช่วยบำรุงรากผมเพราะกะหล่ำปลีมีวิตามินบี5
เมนูกะหล่ำปลีประโยชน์กะหล่ำปลีกะหล่ำปลีมีสรรพคุณช่วยแก้รสเผ็ดร้อนได้ สังเกตได้จากส้มตำ แม่ค้ามักจะใส่กะหล่ำปลีสดๆมาเป็นเครื่องเคียงให้รับประทานนั่นเอง
สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ ควรรับประทานผักกะหล่ำปลีด้วย เพราะอุดมไปด้วย Sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของ DNA และลดความเสียหายของ DNA ในร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลและภาพทางอินเตอร์เน็ต
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น