วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


           สะเดา ชื่อสามัญ Neem, Neem Tree, Nim, Margosa, Quinine, Holy tree, Indian Margosa Tree, Pride of china, Siamese Neem Tree
           สะเดา ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica A.Juss. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica var. siamensis Valeton, Melia azadirachta L.) วงศ์กระท้อน (MELIACEAE)
           สมุนไพรสะเดา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สะเดา สะเดาบ้าน (ภาคกลาง), สะเลียม (ภาคเหนือ), เดา กระเดา กะเดา (ภาคใต้), จะดัง จะตัง (ส่วย), ผักสะเลม (ไทลื้อ), ลำต๋าว (ลั้วะ), สะเรียม (ขมุ), ตะหม่าเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ควินิน (ทั่วไป), สะเดาอินเดีย (กรุงเทพฯ), กาเดา, เดา, ไม้เดา เป็นต้น โดยสามารถพบขึ้นได้ทั่วไปตามป่าแล้งในประเทอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา และประเทศไทย สำหรับในประเทศไทยจะมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ตามธรรมชาติตามป่าเบญจพรรณแล้งและป่าแดงทั่วประเทศ

          ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
          สะเดาจะมีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น ภาคเหนือเรียก สะเลียม ภาคใต้เรียก กะเดา เป็นต้น สะเดาไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน  คือ  สะเดายอดเขียวและสะเดายอดแดง ซึ่งสะเดา  ยอดเขียวจะมีความขมน้อยกว่าหรือบางต้นอาจจะขมน้อยจนได้ชื่อว่า สะเดาหวานหรือ สะเดามัน  แต่สะเดายอดแดงจะมีความขมมากกว่า สะเดาไทยเป็นไม้ยืนต้นโตเร็วชนิดหนึ่ง เจริญได้ดีในแถบร้อน ทนต่อสภาพ อากาศแห้งแล้ง สามารถขึ้นได้ในดินทุกประเภท ยกเว้นดินที่มีน้ำขัง ดินเค็ม เป็นกรด หรือด่างจัด ลำต้นสูง 15-20 เมตร เปลือกไม้ค่อนข้างหนาสีเทาแก่ แตกเป็นร่องตามยาว เนื้อไม้ สีน้ำตาลแดง ยอดอ่อนสีเขียวหรือน้ำตาลแดง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับรูปใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ผลัดใบช่วงสั้นๆ ปีละ 1 ครั้ง และจะออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ดอกสีขาวนวล กลีบเลี้ยงมี 5 แฉก โคนติดกัน กลีบดอกโคนติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลมีลักษณะและขนาดคล้ายพวงองุ่น รูปทรงรี ขนาด 0.8 - 1 ซม. ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว ผลจะสุกประมาณ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม เมื่อผลสุกแล้วจะมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เมล็ดเดี่ยว รูปรี มีสีเขียว ภายในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด
                                       


         สรรพคุณทางยา
        สะเดามีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรแทบทุกส่วน แพทย์แผนไทยมีการนำมาปรุงเป็นยามาแต่โบราณ พอแยกได้ดังนี้
1. ใบอ่อน  รสขม  แก้โรคผิวหนัง  น้ำเหลืองเสียพุพอง
2. ใบแก่  รสขม  บำรุงธาตุช่วยย่อยอาหาร
3. ก้าน  รสขม  แก้ไข้ บำรุงน้ำดี  แก้ร้อนในกระหายน้ำ 
4. ดอก  รสขม  แก้พิษโลหิต  พิษกำเดา  แก้ริดสีดวง  คันในคอ  บำรุงธาตุ 
5. ลูก  รสขมเย็น  บำรุงหัวใจให้เต้นเป็นปกติ
6. ลูกอ่อน  รสขมปร่า  เจริญอาหาร  ฆ่าพยาธิ  แก้ริดสีดวง  แก้ปัสสาวะพิการ
7. เปลือกต้น  รสฝาดเย็น  แก้ท้องเดิน  แก้บิด  มูกเลือด  แก้ไข้  แก้กษัย
8. แก่นในลำต้น  รสขมฝาดเย็น  แก้คลื่นเหียนอาเจียน  แก้ไข้จับสั่น  บำรุงโลหิต บำรุงธาตุไฟ
9. ราก  รสขมฝาดเย็น  แก้เสมหะจุกคอ  แก้เสมหะที่เกาะแน่นในทรวงอก
10. ยาง  ใช้ดับพิษร้อน
11. น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดสะเดาใช้เป็นยาคุมกำเนิด โดยการฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศหญิง  เพื่อฆ่าเชื่ออสุจิ
12. ส่วนกิ่งอ่อนสามารถใช้แทนแปรงสีฟันช่วยรักษาให้ฟันแข็งแรงและป้องกันโรคเหงือก

         คุณค่าทางอาหาร
         ส่วนของสะเดาที่ชาวบ้านนิยมนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือ ยอดและดอก ซึ่งกำลังออกมากในช่วงนี้ (มกราคม) ใช้รับประทานเป็นผักช่วยให้เจริญอาหาร ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการ ยอดสะเดา 100 กรัมให้พลังงานต่อร่างกาย 76 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยน้ำ 77.9 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม โปรตีน 5.4 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม มีกาก 2.2 กรัม แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 3611 ไมโครกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม วิตามินซี 194 มิลลิกรัม

          ปัจจุบันคนนิยมเอาสะเดาไปลวกจิ้วน้ำพริกปลาหวาน หรือกินกับน้ำพริกปลาทู

                                         


         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น